วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่5
-nc ย่อมาจากอะไร และมีความหมายอย่างไร
ตอบ

NC ย่อมาจาก No Children
NC (No Children) หมายถึง ฉากในภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก ซึ่งมักจะประกอบไปด้วยฉากที่มีการใช้ความรุนแรง มีความเกี่ยวข้องกับเพศ ยาเสพย์ติด รวมถึงฉากอื่น ๆ ที่เด็กมิอาจดูได้ เช่น ฉากคลอดลูก ฉากข่มขืน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วตัวอักษรย่อ NC จะใช้ในการจัดเรทให้กับสื่อ เช่น ภาพยนตร์ หรือ วิดีโอเกมส์ รวมถึงนิยายหรืองานเขียน เพื่อให้ผู้ปกครองทราบว่าสื่อดังกล่าวไม่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชน
-cncย่อมาจากคำว่าอะไร และมีความหมายอย่างไร
ตอบCNC ย่อมาจาก Computer Numerical Control
CNC หมายถึง การควบคุมเชิงตัวเลขด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer Numerical Control) หรือที่เรียกกันในวงการอุตสาหกรรมในชื่อว่า “เครื่องซีเอ็นซี” เป็นเครื่องที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานเพื่อให้สามารถผลิตชิ้นส่วนได้รวดเร็วและถูกต้อง แม่นยำ โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการควบคุมเครื่องซีเอ็นซีเป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยรหัสจีซึ่งเป็นชุดคำสั่งในการควบคุมการทำงาน เช่น การตัดเฉือน การกลึง การเปลี่ยนเครื่องมือตัด หรือการปิดเปิดระบบหล่อเย็น เป็นต้น
-จงบอกข้อดีของการใช้เครื่องจักร cnc มา3
ตอบข้อดีของ เครื่องจักรกล CNC
1. มีความแม่นยำสูงในการปฏิบัติงาน เพราะชิ้นงานทุกชิ้นต้องการขนาดที่แน่นอน

2. ชิ้นงานทุกชิ้นมีคุณภาพสม่ำเสมอเท่ากันหมด เนื่องจากผลิตโดยใช้โปรแกรมในการควบคุมการทำ งานของเครื่องจักร CNC

3. โอกาสเกิดความเสียหายต่อชิ้นงานหรือต้องแก้ไขชิ้นงานจะน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะชิ้นงานที่ทำจะใช้โปรแกรม ในการควบคุมถ้าเกิดปัญหาข้อผิดพลาดก็จะแก้ไขได้ที่ตัวโปรแกรม
-จงบอกข้อเสียของการใช้เครื่องจักร cnc มา3ข้อ
ตอบ
ข้อเสียของเครื่อง CNC
1. เครื่อง CNC มีราคาแพงมากเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเนื่องจากยังไม่มีการผลิตเครื่องจักร CNC ภายในประเทศ

2. ค่าบำรุงซ่อมแซมค่อนข้างสูง การซ่อมแซมมีความซับซ้อนอยู่มาก เพราะทั้ง ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) รวมถึงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเล็คโทรนิกส์ ต้องใช้ช่างผู้ชำนาญการในการซ่อมแซม

3. อุปกรณ์และซอฟต์แวร์เสริม ( Option ) มีราคาสูงและต้องได้มาจากผู้ผลิตเครื่องจักรCNC นั้น ๆ เท่านั้น
-หัยหาตัวอย่างภาพเครื่องnc และ cnc และอธิบายลักษณะการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย
ตอบ
NC (Computer Numerical Control) คือ เครื่องจักรกลที่ใช้ผลิต หรือขึ้นรูปชิ้นงานที่มีมาตรฐานสูง ผ่านระบบการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ช่วยควบคุมการทำงานของเครื่องซีเอ็นซี ในขั้นตอนต่างๆ อย่างอัตโนมัติ แทนการใช้แรงงานคนควบคุมเครื่อง
การควบคุมเครื่องซีเอ็นซี แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. ระบบควบคุมการเคลื่อน (Movement)
2. ระบบควบคุมความเร็วของการเคลื่อนที่ (Speed)

หลักการทำงานของเครื่องซีเอ็นซี
ครื่องซีเอ็นซี (CNC Machine) มีระบบควบคุมที่ป้อนข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของเครื่องผ่านแผงคีย์บอร์ด / แป้นพิมพ์ (Key Board) หรือเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เมื่อระบบควบคุมอ่านโปรแกรม และนำข้อมูลไปควบคุมการทำงานเครื่องจักรกล โดยอาศัยมอเตอร์ป้อน (Feed Motor) เพื่อให้แท่นเลื่อนเคลื่อนที่ตามคำสั่ง เช่น เครื่องซีเอ็นซี จะมีมอเตอร์ในการเคลื่อนที่อยู่ 2 ตัว หรือ เครื่องกัดซีเอ็นซี จะมีมอเตอร์ป้อน 3 ตัว โดยระบบควบคุมอ่านโปรแกรมและเปลี่ยนรหัสโปรแกรมเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อควบคุมมอเตอร์ แต่เนื่องจากสัญญาณที่ออกจากระบบควบคุมนี้มีกำลังน้อย ไม่สามารถไปหมุนขับให้มอเตอร์ทำงานได้ จึงส่งสัญญาณผ่านภาคขยายสัญญาณของระบบขับ (Drive Amplified) และส่งสัญญาณต่อไปยังมอเตอร์ป้อนแนวแกนตามที่โปรแกรมกำหนด ทั้งความเร็วและระยะทาง การเคลื่อนที่ของแท่นเลื่อนจะถูกโปรแกรมล่วงหน้า เพื่อควบคุมเครื่องซีเอ็นซี และมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ตรวจสอบตำแหน่งของแท่นเลื่อนให้ระบบควบคุม เรียกว่า ระบบวัดขนาด (Measuring System) ซึ่งประกอบด้วยสเกลแนวตรง (Liner Scale) มีจำนวนเท่ากับจำนวนแนวแกนในการเคลื่อนที่ของเครื่อง ทำหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าที่สัมพันธ์กับระยะทางที่แท่นเลื่อนเคลื่อนที่กลับไปยังระบบควบคุม
จากคุณสมบัติพิเศษนี้ ทำให้เครื่องซีเอ็นซีสามารถผลิตชิ้นงานให้มีรูปร่าง และรูปทรงให้มีขนาดตามที่เราต้องการได้ เนื่องจากการสร้างและการทำงานที่เหนือกว่าเครื่องจักรกลทั่วไป จึงทำให้เครื่องซีเอ็นซีเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญมากในปัจจุบันนี้ หากต้องการผลิตสินค้าให้ได้จำนวนมากๆ และลดจำนวนระยะเวลาการผลิตของสินค้า



วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
                ระบบสารสนเทศ  เป็นระบบที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ระบบสารสนเทศประกอบด้วย
                1.2.1  ฮาร์ดแวร์ (hardware)  หมายถึง  ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ  เช่น  คีย์บอร์ด  (keyboard)  เมาส์  (mouse)  จอภาพ (monitor)  จอภาพสัมผัส (touch  screen)  ปากกาแสง (ligh pen)  เครื่องอ่านรหัสแท่ง  (barcode  reader)  เครื่องพิมพ์ (printer)  ฮาร์ดดิสก์ (hard disk)  รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย  เช่น  โมเด็ม (modem)  และสายสัญญาณ
                1.2.2  ซอฟต์แวร์ (software)  หมายถึง  โปรแกรมหรือชุดคำสั่ง  (instruction)  ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ  เพื่อให้ทำงานตามคำสั่งของผู้ใช้  โดยทั่วไปโปรแกรม  หรือชุดคำสั่งจะถูกแบ่งออกเป็น  2  ประเภทใหญ่ ๆ  คือ
ซอฟต์แวร์ระบบ  (system  software)  หมายถึง  ชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์  และอุปกรณ์
ต่อพ่วงต่าง ๆ  และทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งออกเป็น
1)  ระบบปฏิบัติการ  (Operating  System:  OS)  เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์และซอฟแวร์ทั้งหมดภายในเครื่องคอมพิวเตอร์  ดังรูปที่  1.5  โดยจะทำหน้าที่ดูแลและจัดการให้ฮาร์แวร์และซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งอยู่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ  ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ  เช่น  วินโดวศ์  (Windows)  ลีนุกซ์  (Linux)   และแมคโอเอส  (Mac  OS)
 2)  โปรแกรมอรรถประโยชน์  (utilities  program )  เป็นโปรแกรมที่ช่วยเสริมการทำงานของคอมพิวเตอร์  หรือช่วยโปรแกรมใช้งานอื่นๆ  ให้มีความสามารถใช้งานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น  เช่น  โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการข้อมูล (file manager)  โปรแกรมที่ใช้ในการสำรองและเรียกคืนข้อมูล (back and restore)  โปรแกรมที่ใช้ในการบีบอัดแฟ้มข้อมูล  (file  compression)  และโปรแกรมที่ใช้ในการจัดพื้นที่ของดิสก์ (disk  defragmenter)
3)  โปรแกรมขับอุปกรณ์  หรือดีไวซ์ไดรฟ์เวอร์ (device  driver)  เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการติดตั้งระบบเพื่อให้้คอมพิวเตอร์์สามารถติดต่อหรือใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้
4)  โปรแกรมแปลภาษา  เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นรหัสที่อยู่ในรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถทำงานได้
ซอฟต์แวร์ประยุกต์  (application  software)  หมายถึง  ชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตาม
วัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง  ซอฟต์แวร์ประยุกต์อาจเขียนขึ้นโดยใช้โปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์  เช่น  เบสิก (Basic)  ปาสคาล  (Pascal)  โคบอล  (Cobol)  ซี  (C)  ซีพลัสพลัส (C++)  และจาวา (Java) ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งตามกลุ่มการใช้งานได้
1.2.3  ข้อมูล (data)  ข้อมูลจะถูกรวบรวมและป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านอุปกรณ์ของหน่วยรับเข้า  เช่น  คีย์บอร์ด  เมาส์  และสแกนเนอร์  (scanner)  ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  ข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่ในหน่วยความจำ  (memory unit)  ก่อนที่จะถูกย้ายไปเก็บที่หน่วยเก็บข้อมูล  (storage unit)  เช่น  ฮาร์ดดิสก์  และแผ่นซีดี  (Compact  Disc: CD)  การป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
 1.2.4  บุคลากร (people)  บุคลากรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของระบบสารสนเทศ  ในที่นี้หมายถึงบุคลากรที่เป็นผู้ใช้ระบบสารสนเทศ  ดังรูปที่ 1.11  บุคลากรที่เป็นผู้พัฒนาระบบสารสนเทศ  จะต้องมีความรู้ความสามารถในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพให้สามารถทำงานได้ตามความต้องการของผู้ใช้ใช้ง่ายและสะดวก  ส่วนผู้ใช้ต้องมีความรู้  ความเข้าใจ  และมีความสามารถในการใช้งานระบบสารสนเทศและการสื่อสารต่างๆ  ได้อย่างถูกต้องจึงจะเกิดสารสนเทศที่เป็นประโยชน์
 1.2.5  ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (procedure)  ระบบสารสนเทศต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นลำดับขั้นชัดเจน  เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย  และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน  เช่น  ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล  ขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูล  ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อข้อมูลได้รับความเสียหาย  หรือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์  และอุปกรณ์ต่างๆ  เกิดการชำรุดเสียหาย  ขั้นตอนต่างๆ  เหล่านี้ควรได้รับการรวบรวมและจัดทำให้เป็นรูปเล่ม  ของคู่มือการใช้งาน
องค์กรต่าง ๆ  มีการลงทุนจำนวนมากในการจัดหาระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำมาช่วยงานทั้งด้านการบริหารและ
การจัดการงานทั่วไป ขององค์กร  โดยเน้นที่คุณภาพของระบบสารสนเทศและความคุ้มค่าในการลงทุน  การใช้ระบบ
สารสนเทศจะเริ่มจากการนำข้อมูลป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์  ระบบคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลข้อมูลเหล่านั้น  แล้วจึงส่งผลลัพธ์ออกมาให้กับผู้ใช้  ผู้ใช้ระบบสารสนเทศจะนำสารสนเทศนั้นไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำ
กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง  หากผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์  ก็จะต้องย้อนมาพิจารณา
เริ่มต้นที่ขั้นตอนการป้อนข้อมูลใหม่อีกครั้งว่า  ข้อมูลเข้า  และขั้นตอนอื่นๆ  มีความถูกต้อง  สมบูรณ์หรือไม่
1.3  ประโยชน์และตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของคนมีส่วนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น  ทำให้คนในสังคมมีการติดต่อสื่อสารถึงกันได้ง่ายและรวดร็ว  มีการทำกิจกรรมหลายสิ่งหลายอย่างรวมกันง่ายขึ้น  การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ  เช่น
1.3.1  ด้านการศึกษา
1.3.2  ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
1.3.3  ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม
1.3.4  ด้านการเงินการธนาคาร
1.3.5  ด้านความมั่นคง
1.3.6  ด้านการคมนาคม
1.3.7  ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม
1.3.8  ด้านการพาณิชย์
1.4  แนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.4.1  ด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เมื่อพิจารณาเครือข่ายการสื่อสารทั่วไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน  เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ใช้อุปกรณ์การสือสารแบบพกพา
มากขึ้นเรื่อยๆ  เริ่มจากวิทยุเรียกตัว (pager)  ซึ่งเป็นเครื่องรับข้อความ  มาเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่  อุปกรณ์สื่อสาร
ชนิดนี้ได้ถูกพัฒนาจนสามารถใช้งานด้านอื่นๆ ได้  นอกจากการพูดคุยธรรมดา  โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่สามารถใช้ถ่ายรูป  ฟังเพลง  ฟังวิทยุ  ดูโทรทัศน์  บันทึกข้อมูลสั้นๆ  บางรุ่นมีลักษณะเป็นเครื่องช่วยงานส่วนบุคคล (Personal Digital  Assistant: PDA)  ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้  อีกทั้งยังมีหน้าจอแบบสัมผัส  ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น  บางรุ่นมีอุปกรณ์สไตลัส (stylus)  คือใช้ปากกาป้อนข้อมูลทางหน้าจอ  บางรุ่นสามารถสั่งการได้ด้วยเสียง
1.4.2  ด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในอดีตมักเป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อตรงเพียงชุดเดียว  (stand alone)
ต่อมามีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันภายในองค์กร  เพื่อทำให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน  หรือใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน  จนเกิดเป็นระบบรับ  - ให้บริการ (client-server system)   โดยมีเครื่องให้บริการ (server)  และเครื่องรับบริการ (client)
การให้บริการบนเว็บก็นำหลักการของระบบรับ-ให้บริการมาใช้ช่วยให้การทำงานง่าย สะดวก รวดเร็ว  เพราะสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต  โดยมีเว็บเซิร์ฟเวอร์ (webserver)  เป็นเครื่องให้บริการ
 1.4.3  ด้านเทคโลยี  ระบบทำงานอัตโนมัติที่สามารถตัดสินใจได้เองจะเข้ามาแทนที่ได้มากขึ้น  เช่น  ระบบแนะนำเส้นทางจราจร  ระบบจอดรถ  ระบบตรวจหาตำแหน่งของวัตถุ  ระบบควบคุมความปลอดภัยภายในอาคาร
1.5  ความเปลี่ยนแปลงจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
 ความก้าวหน้าของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว  เพื่อสนองความต้องการด้านต่างๆ  ของผู้ใช้ในปัจจุบันซึ่งมีจำนวนผูใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั่วโลกประมาณพันล้านคน  และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี  ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวได้ทุกที่  ทุกเวลา  จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ  ทั้งที่เกิดประโยชน์และ โทษ  เช่น 
1)  ด้านสังคม
2)  ด้านเศรษฐกิจ
3)  ด้านสิ่งแวดล้อม
1.6 ตัวอย่างอาชีพทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ตลาดแรงงานต้องการผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างแท้จริง  ซึ่งงาน ด้านนี้ จะรวมถึง  งานด้านการออกแบบโปรแกรมต่าง ๆ  โปรแกรมใช้งานบนเว็บงานด้านการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์  งานด้านฐานข้อมูล  งานด้านระบบเครือข่าย  ดังนั้นองค์กรจึงมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้  ความสามารถในการ
บริหารจัดการ  และพัฒนาซอฟแวร์เพื่อใช้งานด้านต่างๆ  ขององค์กร  ตัวอย่างอาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสาร  เช่น
                นักเขียนโปรแกรมหรือโปรแกรมเมอร์  (Programmer) 
ทำหน้าที่ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในงานด้านต่างๆ  เช่นโปรแกรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า  โปรแกรมที่ใช้กับงานด้านบัญชี  หรือโปรแกรมที่ใช้กับระบบงานขนาดใหญ่ขององค์กร
                นักวิเคราะห์ระบบ  (System  analyst) 
ทำหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์  และพัฒนาระบบสารสนเทศ  นักวิเคราะห์ระบบจะทำการวิเคราะห์ระบบงานและออกแบบ
ระบบสารสนเทศให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน  ซึ่งอาจรวมถึงงานด้านการออกแบบฐานข้อมูลด้วย
                ผู้ดูแลและบริหารฐานข้อมูล  (database  administrator) 
ทำหน้าที่บริหารและจัดการฐานข้อมูล  (database )  รวมถึงการออกแบบ  บำรุงรักษาข้อมูล  และการดูแลระบบความปลอดภัยของฐานข้อมูล  เช่น  การกำหนดบัญชีผู้ใช้การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้
                ผู้ดูแลและบริหารระบบ (system  administrator)                 ทำหน้าที่บริหารและจัดการระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร  โดยดูแลการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบปฏิบัติการ  การติดตั้งฮาร์ดแวร์  การติดตั้งและการปรับปรุงซอฟต์แวร์  สร้าง  ออกแบบและบำรุงรักษาบัญชีผู้ใช้  สำหรับองค์กรขนาดเล็กเจ้าหน้าที่ควบคุมระบบอาจต้องดูแลและบริหารระบบเครือข่ายด้วย
                ผู้ดูแลและบริหารระบบเครือข่าย (network  administration)  ทำหน้าที่บริหารและจัดการออกแบบระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์  และดูแลรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่าย
ขององค์กร  เช่น  ตรวจสอบการใช้งานเครือข่ายของพนักงานและติดตั้งโปรแกรมป้องกันผู้บุกรุกเครือข่าย
                ผู้พัฒนาและบริหารระบบเว็บไซต์ (webmaster)
ทำหน้าที่ออกแบบพัฒนา  ปรับปรุงและบำรุงรักษาเว็บไซต์ให้มีความทันสมัย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการปรับปรุง ข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
                เจ้าหน้าที่เทคนิค (technician)
ทำหน้าที่ซ่อมบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์  ติดตั้งโปรแกรม  หรือติดตั้งฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ  และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจาก การใช้งานอุปกรณืคอมพิวเตอร์ในองค์กร
                นักเขียนเกม  (game maker) 
ทำหน้าที่เขียนหรือพัฒนาโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์  ในปัจจุบันนี้การเขียนเกมคอมพิวเตอร์  เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยม อย่างสูงในประเทศไทย

รายชื่อสมาชิกในห้อง c

รายขื่อสมาชิก
    อาจารย์ ธภัทร ชัยชูโชค อาจารย์ปาล์ม
1 นายเปรมศักดิ์ สารานพกุล    พี่เปรม
นางสาวพิภาษิณี สัญศรีเมือง น้องเฟียร์ 
นางสาวเจนจิรา นวลแก้ว       ก้อย
นางสาวอรอุมา แสงแก้ว        ปลา 
นายธนัญชย์ ศิริชัย               ปืน 
นางสาวอังคณา เสน่หา        เดียร์
7  นาย ธนทัศน์ บุญณารักษ์    เชน 
นางสาวนันทนา แก้วมรกต    แอม
น.ส.โซเฟีย หวังจิ               เฟียร์
10 นางสาว ทิพย์สุดา เมฆม่วงแก้ว เฟิร์น
11 นาย ตวงสิทธิ์ กำเนิดทอง ปอน
12  นายกฤษณศักดิ์ อมแก้ว ปลั๊ก
13 นาย สหรัฐ ภัทชวงค์ ฟิวส์
14  นางสาว สาวิตรี ไชยทอง บัว
15 นาย ณัฐวุฒิ วรรณสวัสดิ์ แน็ก
16 นายบัณฑิต จิตรพัฒนากุล จ๊อง
17  นางสาวยุพิน แก้วดำ หญิง
18 นาย กษิดินทร์ ทิพยศุภลักษณ์ ดิน
19 นาย ครองชัย ศรีทวีป อ๊อฟ
20 นายภานุวัตร จันสองแก้ว โอ๊ต
21 นายชิษณุพงศ์ บุญพา น้ำ
22  นางสาว นภัสวรรณ ย่องตีบ น้ำ
23 นางสาวสุดารัตน์ เพชรแท้ อิ๋ว
24 นาย มงคล คังฆะมณี พืช
25 นาย ศรราม โกศล ป๊อก
26นางสาวรวิกร พุทธนุกูล ป๊อป
27 ธัญวัฒน์ รักษ์เพ็ชร หลวงพี่ปลา